ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีได้เห็นการฟื้นตัวอย่างพอประมาณหลังจากที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันขาลงเป็นเวลานาน แม้แรงดีดตัวนี้จะสร้างความหวังให้กับนักลงทุนและผู้ที่ชื่นชอบ แต่ตัวชี้วัดในภาพรวมและการเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดการเงินดั้งเดิม (TradFi) กลับย้ำถึงบรรยากาศแห่งความระมัดระวัง แม้บางภาคส่วนจะได้กำไรในระยะสั้น แต่มูลค่ารวมทั้งหมดยังคงติดอยู่ในสภาวะตลาดหมี อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาอย่างลึกซึ้ง พบว่าภาคส่วนสเตเบิลคอยน์และการปล่อยกู้ DeFi (Decentralized Finance) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณแสดงถึงศักยภาพระยะยาวท่ามกลางความผันผวน บทความนี้จะวิเคราะห์การเคลื่อนไหวล่าสุดของตลาด ศึกษาผลประกอบการรายภาค และเจาะลึกการขยายตัวอย่างรวดเร็วในระบบนิเวศน์ของสเตเบิลคอยน์และการปล่อยกู้ DeFi
ดัชนีคริปโต: ดีดตัวในกรอบจำกัด ท่ามกลางแรงต้านต่อเนื่อง
หลังจากเทขายอย่างรุนแรงในเดือนพฤศจิกายน ตลาดคริปโตเข้าสู่ช่วงเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มเห็นการฟื้นตัวเล็กน้อย: บิตคอยน์ (BTC) ขึ้นไปถึง $90,400 เพิ่มขึ้น 12% จากจุดต่ำสุดที่ $80,700 ในช่วงปรับฐานล่าสุด กลุ่มบล็อกเชนโมดูลาร์และ AI (Artificial Intelligence) ให้ผลตอบแทนเด่น มูลค่าเหรียญอย่าง TAO และ TIA เพิ่มขึ้น 6.4% และ 6.2% ตามลำดับ ตรงกันข้ามกับกลุ่มโปรเจกต์ที่เกี่ยวกับตลาดฟิวเจอร์สถาวร ซึ่งกลับประสบกับการขาดทุนในสินทรัพย์อย่าง DYDX (-3.1%) และ HYPE (-0.6%) ภาพรวมนี้สะท้อนถึงการเลือกเก็งกำไรบางภาคส่วนระหว่างที่นักเทรดหมุนเวียนความเสี่ยงเพื่อค้นหาผลตอบแทนระยะสั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อมองในภาพรวมจะพบว่าความหวังดังกล่าวต้องควบคุมความคาดหวังไว้ ในกรอบเดือน ดัชนี TradFi หลักๆ เช่น ทองคำ Nasdaq และ S&P 500 ต่างสร้างผลตอบแทนเป็นบวก แต่ทุกดัชนีคริปโตที่ถูกติดตามล้วนรายงานผลตอบแทนติดลบทั้งหมด อัตราส่วนของสินทรัพย์ที่ได้กำไร (market breadth) ลดลงอย่างมากทั่วทุกภาค แตกต่างจากวัฏจักรก่อนหน้า ที่ครั้งนี้ไม่มีกลุ่มสินทรัพย์ปลอดภัยในคริปโตเลย: ทุกดัชนีหลักลงสีแดงทั้งหมดในรอบเดือนที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานที่ด้อยกว่านี้เป็นสัญญาณเตือนนักลงทุน ว่าแรงดีดตัวครั้งนี้อาจเป็นเพียงจังหวะแกว่งตัวก่อนลงต่อ หรือแค่การรีบาวด์ของแนวโน้มขาลงระยะยาวเท่านั้น
ภาคส่วนที่แข็งแกร่ง: รายได้โปรโตคอลแซงหน้าคู่แข่ง
แม้บรรยากาศโดยรวมจะออกแนวหมี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแต่ละภาคส่วนจะเดินหน้าเหมือนกันทั้งหมด มีจุดแข็งสำคัญที่เด่นชัดขึ้นในช่วงนี้ คือ ดัชนีรายได้โปรโตคอล (Protocol Revenue) ซึ่งวัดผลประกอบการของบล็อกเชนที่สร้างรายได้สม่ำเสมอและมั่นคง ผลตอบแทนที่เหนือกว่าชี้ให้เห็นว่านักลงทุนอาจเริ่มเปลี่ยนมุมมองมองหาโครงการที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและสร้างรายได้จริง แทนที่จะเลือกโครงการตามกระแสความเก็งกำไร การปรับพอร์ตนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตและความเป็นผู้ใหญ่ของตลาด ที่เม็ดเงินให้รางวัลกับประโยชน์ใช้สอยและความยั่งยืนที่จับต้องได้ มากกว่าการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยความตื่นเต้นชั่วคราว
DeFi Lending: การเติบโตแบบระเบิดสวนกระแสตลาด
แม้ในสภาวะที่ดูมืดมนนั้น ตัวเลขระยะยาวจากระบบการเงินไร้ศูนย์กลางยังพอสร้างความหวังได้ การเติบโตของแพลตฟอร์มปล่อยกู้ DeFi เป็นข้อพิสูจน์หนึ่ง ช่วงที่ตลาดหมีทำจุดต่ำสุด ปริมาณสินทรัพย์ที่ถูกล็อค (TVL) ในโปรโตคอลปล่อยกู้ DeFi เหลือเพียง 5 พันล้านดอลลาร์ ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดการเงินโลก แต่ตัวเลขนี้ได้เติบโตก้าวกระโดดเป็น 71 พันล้านดอลลาร์ และเคยแตะระดับสูงสุดเกือบ 100 พันล้านดอลลาร์แล้ว การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ชี้ให้เห็นถึงความต้องการบริการกู้ยืมและให้กู้แบบไร้ศูนย์กลางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาสินทรัพย์จะผันผวนในระยะสั้นก็ตาม
ในทำนองเดียวกัน มูลค่ารวมของเงินกู้ที่ออกโดยโปรโตคอล DeFi ได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า เงินกู้เคยเหลือเพียง 1.6 พันล้านดอลลาร์ในจุดต่ำสุด แต่ได้พุ่งทะลุ 27 พันล้านดอลลาร์และเคยแตะ 38 พันล้านดอลลาร์ในจุดสูงสุดเมื่อเร็วๆ นี้ การเติบโตมากกว่า 20 เท่าในระยะเวลาอันสั้นถือว่าน่าทึ่ง และแสดงให้เห็นถึงการนำไปใช้จริงและประโยชน์ที่โปรโตคอลเหล่านี้มอบให้กับระบบนิเวศของบล็อกเชน นอกจากนี้ยังบ่งบอกว่าอิทธิพลของ DeFi กำลังขยายไปสู่ผู้เล่นภายนอกโลกคริปโต มีนัยต่อระบบการเงินในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
Stablecoins: การเดินหน้าของเงินตราบนบล็อกเชน
การเติบโตของ DeFi lending เกิดขึ้นควบคู่กับการขยายตัวของสเตเบิลคอยน์—สกุลเงินดิจิทัลที่ตรึงค่ากับเงินเฟียต (fiat) ของรัฐ ซึ่งโดยมากจะเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากตลาดคริปโตถดถอยระยะสั้น ปริมาณสเตเบิลคอยน์โดยรวมได้ฟื้นตัวกลับสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 310 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่เคยลดลง 10 พันล้าน การไต่ระดับที่ไม่หยุดยั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของสเตเบิลคอยน์ในเศรษฐกิจคริปโต ทั้งในฐานะแหล่งสภาพคล่อง หลักประกันในเครือข่าย และเป็นช่องทางที่เงินทุนใหม่เข้าสู่ระบบนิเวศน์
ปริมาณสเตเบิลคอยน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้สะท้อนเพียงการป้องกันความเสี่ยงของนักเก็งกำไรเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกถึงการใช้งานจริงที่กระจายไปบนแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ต่างๆ ตลาดเงินบนบล็อกเชนเป็นหนึ่งในผู้ได้รับประโยชน์สำคัญจากแนวโน้มนี้ ตลาดดิจิทัลเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถกู้ยืมและให้ยืมสเตเบิลคอยน์ในรูปแบบที่ใครก็เข้าถึงได้ ไม่มีข้อจำกัดและตัวกลาง ผู้ให้กู้จะได้รับดอกเบี้ยจากการเติมสภาพคล่อง ขณะที่ผู้กู้ใช้ทุนเหล่านี้สำหรับเทรดแบบมีเลเวอเรจ การดำเนินธุรกิจ หรือเก็งกำไรระหว่างราคา
รูปแบบนี้สร้างวัฏจักรที่เข้มแข็งและเกื้อกูลกันเอง: ยิ่งมีสเตเบิลคอยน์หมุนเวียนมากขึ้น ตลาดเงินยิ่งลึกขึ้น ดึงดูดผู้เล่นและเงินทุนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือแรงขับเคลื่อนนี้ดูเหมือนจะยังคงสร้างแรงหนุนอย่างมีนัยสำคัญให้กับระบบนิเวศ DeFi โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับฐานของราคาสินทรัพย์ช่วงสั้นๆ
การกดอัตราผลตอบแทน: สเตเบิลคอยน์ชิดระดับดอกเบี้ย TradFi
แม้ว่าการเติบโตของปริมาณสเตเบิลคอยน์และ DeFi lending จะน่าประทับใจยิ่งใหญ่ แต่สิ่งนี้ก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโครงสร้างอัตราผลตอบแทนบนบล็อกเชน อัตราดอกเบี้ยการให้กู้ใน DeFi หลักๆ ได้ถูกกดเหลือเพียง 3.6%—ซึ่งต่ำกว่าดอกเบี้ยตลาด SOFR (Secured Overnight Financing Rate) ในตลาดดั้งเดิมที่ 3.9% เล็กน้อย เมื่อสภาพคล่องของสเตเบิลคอยน์ในระบบไร้ศูนย์กลางมีความลึกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แนวโน้มการกดอัตราผลตอบแทนน่าจะดำเนินต่อไป
ประเด็นนี้จึงนำไปสู่คำถามสำคัญของการเติบโตระยะถัดไปในตลาดเงิน DeFi หากส่วนต่างดอกเบี้ยเหนือ TradFi หายไป และยังไม่ชดเชยความเสี่ยงโดยธรรมชาติ (เช่น บั๊กใน Smart Contract การโดนโจมตี หรือความไม่แน่นอนจากกฎระเบียบ) การนำสเตเบิลคอยน์ไปปล่อยกู้อาจจะเผชิญแรงต้านมากขึ้น ยังต้องจับตาว่าแพลตฟอร์ม DeFi เหล่านี้จะออกแรงจูงใจใหม่ๆ เพื่อรักษาและขยายฐานผู้ใช้งานอีกหรือไม่ หรือสุดท้ายตลาดจะเข้าสู่สมดุลที่โดนขับเคลื่อนโดยสถาบันที่ยอมรับการกระจายผลตอบแทนที่ต่ำกว่า
มองข้ามความผันผวน: โอกาสระยะยาวของตลาดคริปโต
แม้ดัชนีราคายังคงผันผวนอย่างหนักและบรรยากาศเชิงลบยังคงอยู่ แต่รากฐานของ DeFi และสเตเบิลคอยน์ยังคงแข็งแกร่ง การเติบโตอย่างรุนแรงและต่อเนื่องของ DeFi lending และความมั่นคงของอุปทานสเตเบิลคอยน์แสดงชัดเจนว่ายังไม่ถึงจุดอิ่มตัวของตลาด ปัจจัยหนุนระยะยาวนี้กำลังดึงดูดไม่เพียงนักคริปโตทั่วไปเท่านั้น แต่ยังขยายไปสู่สถาบันการเงินและนักลงทุนกระแสหลักที่มองหาโอกาสเก็บเกี่ยวผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์
การสลับกันของความผันผวนระยะสั้นกับการเติบโตระยะยาว เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส สำหรับสายเทรดและนักเก็งกำไร ต้องเตรียมพร้อมกับแรงต้านที่ยังไม่หมดและความเป็นไปได้ของการแกว่งตัวหรือลงต่อ ขณะเดียวกัน ผู้สร้างโปรเจกต์ นักวิจัย และนักลงทุนสายระยะยาวก็ได้เห็นภูมิทัศน์ที่พลิกโฉมอย่างรวดเร็ว—ซึ่งนวัตกรรมทางการเงินใหม่อย่างสเตเบิลคอยน์และโปรโตคอลปล่อยกู้แบบกระจายศูนย์ กำลังกลายเป็นตัวกำหนดแนวโน้มของตลาดทุนระดับโลก
บทสรุป: สองโลกคู่ขนานในตลาดคริปโต
ตลาดคริปโตในปัจจุบันอาจนิยามได้ว่าเป็นเรื่องราวของ “สองตลาด”: ชั้นผิวนอกแสดงถึงการรีบาวด์ระยะสั้นและความตึงเครียดของราคา ขณะที่ฐานรากกลับขับเคลื่อนด้วยการเติบโตในกลุ่ม DeFi lending และสเตเบิลคอยน์ที่ชัดเจน แม้ราคากับบรรยากาศจะเหวี่ยงตัวไปมารุนแรง แต่ตัวชี้วัดเชิงปริมาณเช่น เงินฝากในโปรโตคอล การปล่อยกู้ และอุปทานสเตเบิลคอยน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่างบ่งชี้ถึงการเติบโตที่กว้างและยั่งยืนในหัวใจของเศรษฐกิจคริปโต
ต่อจากนี้ เส้นทางของตลาดคริปโตจะขึ้นอยู่กับการประสานของพลังสองขั้วนี้ ความแข็งแกร่งระยะสั้นอาจต้องหลีกทางให้กับโมเมนตัมที่ยั่งยืน และผลิตภัณฑ์คริปโตชั้นนำจะต้องแสดงให้เห็นไม่เพียงความล้ำหน้าทางเทคนิคเท่านั้น แต่ต้องชูจุดขายที่โดดเด่น สำหรับผู้ที่สามารถมองข้ามเสียงรบกวนระยะสั้นและจับจ้องไปยังการพัฒนาอย่างแท้จริง ยังมีเหตุผลมากมายที่จะมองโลกในแง่ดีอย่างระมัดระวัง—แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยังไม่แน่นอนก็ตาม

